ปัจจุบันนี้ไม่ว่าจะหันมองไปทางไหน เราก็จะมองเห็นป้ายโฆษณาสินค้าและบริการต่างๆ อยู่แทบทุกตารางเมตร ยิ่งในเมืองใหญ่ ที่เป็นเมืองหลวงของประเทศไทย และเป็นศูนย์กลางความเจริญในทุกๆด้าน อย่างเช่นกรุงเทพมหานครแล้ว จำนวนป้ายที่มีอยู่ ก็มากมายจนแทบมองไม่เห็นทิวทัศน์ที่สวยงามในเมืองหลวงกันเลยทีเดียว และประชาชนคนทั่วไปส่วนใหญ่ก็คงไม่ทราบถึงที่มาหรือที่ไปของป้ายเหล่านั้น รู้เพียงแค่เป็นเพียงการโฆษณาชวนเชื่อผ่านรูปภาพ หรือตัวอักษรเพียงเท่านั้น สำหรับประชาชนทั่วไปที่เป็นพนักงานออฟฟิศก็อาจจะมองไม่เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องรู้เกี่ยวกับภาษีป้าย แต่สำหรับเจ้าของธุรกิจ ร้านค้า ห้างร้าน บริษัทต่างๆ นั้น ภาษีป้ายเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งที่ควรรู้ เพราะการเสียภาษีหมายถึง ค่าใช้จ่ายที่เราต้องจ่ายออกไปให้กับภาครัฐ พอมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็ดูจะเป็นเรื่องที่น่าสนใจขึ้นมาทันที
“ป้าย” มีทั้งประเภทที่ต้องเสียภาษี และประเภทที่ได้รับการยกเว้นภาษี และแน่นอนว่าป้ายที่มีอยู่แทบจะทุกเสาไฟฟ้าในประเทศไทยนั้น ส่วนใหญ่แล้วไม่ได้จัดอยู่ในประเภทที่ได้รับการยกเว้นภาษีอย่างแน่นอน เพราะป้ายที่ต้องเสียภาษี คือป้ายที่มีขึ้นเพื่อการค้า เพื่อหาผลประโยชน์จากข้อมูลที่มีอยู่บนป้ายนั้น ไม่ว่าจะเป็นป้ายที่แสดงชื่อ ยี่ห้อ เครื่องหมายต่างๆ ที่ใช้ประกอบการธุรกิจ หรือประกอบกิจการอื่นๆ เพื่อหารายได้ และไม่ว่าป้ายนั้นจะผลิตขึ้นจากวัตถุใด หากเกี่ยวกับทางการค้าหรือธุรกิจแล้ว ผู้ที่เป็นเจ้าของป้ายนั้นก็ต้องเสียภาษีป้ายให้กับภาครัฐอย่างแน่นอน
หลังจากทำป้ายแล้ว ต้องขออนุญาตติดตั้งป้ายด้วยนะจ๊ะ
Q : ขออนุญาตติดตั้งป้าย ต้องใช้หลักฐานอะไรบ้าง
A : 1.ขนาดของป้าย 2.ภาพถ่ายป้าย 3.แผนผังบริเวณที่จะติดตั้งป้าย
Q : ทำไมต้องขออนุญาตติดตั้ง
A : เพื่อความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน บริเวณที่ติดตั้งป้าย หากเจ้าหน้าที่ตรวจสอบแล้วไม่อยู่ในข่ายที่เป็นอันตราย ก็สามารถติดตั้งได้
Q : เสียภาษีป้ายต้องทำยังไง
A : ยื่นแบบ ภ.ป.1 (แบบแสดงรายการภาษีป้าย) พร้อมหลักฐาน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ประเมินภาษีป้าย
Q : ควรยื่นเมื่อไหร่?
A : ภายในเดือนมีนาคมของทุกปี ถ้าติดตั้งหลังเดือนมีนาคม ให้ยื่นภายใน 15 วัน นับตั้งแต่ติดตั้งหรือแสดงป้าย
Q : ควรชำระภาษีป้ายเมื่อไหร่
A : ภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับแจ้งการประเมินจากเจ้าหน้าที่ / หรือจะชำระได้ทันทีถ้าเจ้าหน้าที่ประเมินภาษีเรียบร้อยแล้ว
Q : ต้องใช้หลักฐานอะไรในการยื่นบ้าง
A : 1.บัตรประชาชน 2.สำเนาทะเบียนบ้าน 3.ทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หนังสือรับรองบริษัท/ห้างหุ้นส่วน 4.ใบอนุญาตติดตั้งป้าย หรือใบเสร็จรับเงินค่าทำป้าย
Q : ยื่นแบบ/ขออนุญาตติดตั้งป้าย ที่ไหน?
A : สำนักงานเขต , องค์การบริหารส่วนตำบล , เทศบาล
รู้ได้ยังไง ว่าป้ายของเราต้องเสียภาษีเท่าไหร่ มีวิธีคิดง่ายๆ โดยอัตราค่าภาษีป้ายจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท และคำนวณเป็นตารางเซนติเมตร และขอบเขตของป้ายอยู่ที่ตัวอักษร ภาพ หรือเครื่องหมายที่อยู่ริมสุด
1. ป้ายที่มีเฉพาะตัวอักษรภาษาไทย อัตราภาษีของป้ายจะอยู่ที่ 3 บาทต่อ 500 ตร.ซม
2. ป้ายที่มีทั้งตัวอักษรภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ หรือปนกับภาพหรือเครื่องหมาย อัตราภาษีของป้ายจะอยู่ที่ 20 บาทต่อ 500 ตร.ซม
3. ป้ายที่ไม่มีตัวอักษรภาษาไทยเลย หรือมีตักอักษรภาษาไทยน้อยกว่าตัวอักษรภาษาต่างประเทศ อัตราภาษีของป้าจะอยู่ที่ 40 บาทต่อ 500 ตร.ซม
อัตราค่าภาษีป้ายที่ต้องชำระขั้นต่ำอยู่ที่ 200 บาท แม้ว่าคำนวณแล้วไม่ถึง ก็ต้องจ่ายเต็ม 200 บาท!!
ถ้าไม่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้ายจะเป็นอะไรมั้ย ?
- ถ้าไม่ยื่นแบบภายในกำหนด ต้องเสียเงินเพิ่ม 10% ของเงินที่ต้องเสียภาษี
- ถ้าไม่ยื่นภายในกำหนด แต่ยื่นก่อนที่จะได้รับใบเตือน ต้องเสียเงินเพิ่มเพียง 5% ของเงินที่ต้องเสียภาษี
โทษของการหลีกเลี่ยงภาษีป้าย
- เจตนาที่จะไม่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้าย ปรับตั้งแต่ 5,000 – 50,000 บาท
- หลีกเลี่ยงโดยเจตนาใช้หลักฐานที่เป็นเท็จ จำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับตั้งแต่ 5,000 – 50,000 บาท
ป้ายที่ตั้งอยู่บนอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่น ?
- มีพื้นที่ป้ายเกิน 2 ตารางเมตร
- ต้องมีชื่อเจ้าของป้ายอยู่มุมขวาล่างของป้าย
- ชื่อเจ้าของป้ายต้องเป็นตัวอักษรภาษาไทยชัดเจน
- ถ้าไม่ปฏิบัติตาม ต้องระวางโทษปรับวันละ 100 บาท ทุกวันที่ไม่ปฏิบัติตาม
หน้าที่เข้าชม | 1,722,169 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 1,040,232 ครั้ง |
เปิดร้าน | 27 ก.ค. 2558 |
ร้านค้าอัพเดท | 26 ส.ค. 2568 |